วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ยารักษาสิว isotretinoin อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

ยารักษาสิว isotretinoin อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม


                สิว(acne) จัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็กวัยรุ่นทั้งชายและหญิง การเป็นสิวมีผลต่อคุณภาพชีวิตทั้ง     ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม ทำให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง ทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล ไม่สามารถเข้าสังคมได้ อีก          ทั้งความเข้าใจของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับสิวมักจะเป็นเรื่องของความสวยงาม ทำให้หลายคนพยายามซื้อยามารักษาด้วยตนเอง           ซึ่งแท้จริงแล้วการรักษาสิวจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผิวหนังอย่างเหมาะสม การใช้ยาโดยไม่จำเป็นหรือไม่        เหมาะสมกับอาการ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการได้รับอันตรายจากยาได้
ยาที่ใช้ในการรักษาสิวมีหลายชนิด หลายรูปแบบ แต่ที่พบว่ามีความนิยมใช้กันเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มที่จะใช้        อย่างผิดวิธี  คือ ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ชนิดรับประทาน ที่มีชื่อสามัญทางยาว่า ไอโสเตรติโนอิน (isotretinoin) หรือ เรติโน          อิก แอซิด (retinoic acid) และมีชื่อทางการค้า ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ Roaccutane® (โรแอคคิวเทน), Acnotin® (แอคโนทิน),             Sotret® (โสเตรส), Isotane® (ไอโสเทน) เป็นต้น ยาชนิดนี้แม้ว่จะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวที่ดี แต่ผลข้างเคียงของยานั้น        นับว่ามีมากและรุนแรงโดยเฉพาะการใช้ยาอย่างผิดวิธี ทำให้ต้องมีการควบคุมการใช้ ดังนั้น isotretinoin ชนิดรับประทานจึงถูก            จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์ก่อนจึงจะสามารถซื้อยาจากร้านขายยาได้

            Isotretinoin คืออะไร?
                        Isotretinoin เป็นอนุพันธุ์ของกรดวิตามินเอ ที่มีข้อบ่งชี้ในการรักษาสิวที่มีอาการรุนแรง ที่ไม่สามารถควบคุมอาการ     ได้จากการรักษาอื่นๆ หรือสิวชนิดที่มีแผลเป็น กลไกการออกฤทธิ์ของ isotretinoin โดยรวม คือ ยาจะทำหน้าที่ยับยั้งสาเหตุของ       การเกิดสิว เช่น กดการทำงานของต่อมไขมันทำให้ผลิตสารที่เป็นไขมัน (sebum) ลดลง ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P. acnes)ลดการอักเสบของสิว และยับยั้งการสร้างคอมีโดน (comedone)

            การใช้ยา Isotretinoin อย่างถูกต้องเป็นอย่างไร?
                        โดยทั่วไปการใช้ยา isotretinoin ในช่วง 1 เดือนแรกอาการของสิวมักจะแย่ลง และจะค่อยๆ ดีขึ้นภายหลัง ในระหว่างที่     ใช้ยา isotretinoin อยู่นั้น อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวชนิดอื่น โดยเฉพาะชนิดทาภายนอก เนื่องจากการ           รับประทาน isotretinoin จะมีผลทำให้ผิวหนังแห้ง หลุดลอก และบางลง จนไม่สามารถทนต่อยารักษาสิวอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ควร            หลีกเลี่ยงการใช้ยา isotretinoin ร่วมกับยา tetracycline เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดความดันในสมองสูงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ (idiopathic intracranial hypertension) ได้
                        ขนาดยา isotretinoin เริ่มต้น คือ 0.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน เป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นอาจเพิ่ม            ขนาดยาเป็น 1 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน ได้ โดยระยะเวลาของการรับประทานยาอาจอยู่ในช่วง 5-6 เดือน             (ขนาดยารวมทั้งหมดไม่ควรเกิน 120 – 150 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกร้ม) และสามารถหยุดการหยุดรับประทานยาได้เลย     โดยไม่จำเป็นต้องค่อยๆ ปรับขนาดยาลง (tapering)

            ข้อห้ามและข้อควรระวังในการใช้ยา Isotretinoin
                        - ยา isotretinoin มีผลทำให้เด็กทารกในครรภ์พิการแต่กำเนิดได้ และแม้ว่าเด็กทารกที่คลอดออกมาจะมีความปกติแต่ก็     มีความเสี่ยงสูงที่จะพบความบกพร่องทางสมองและเชาว์ปัญญาได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่ได้รับยา isotretinoin จะต้องคุมกำเนิดก่อน      รับประทานยาอย่างน้อย 3 เดือน และคุมกำเนิดตลอดระยะเวลาที่ใช้ยาตัวนี้ในการรักษา และต้อง
            หยุดยาล่วงหน้าอย่างน้อย3 เดือน ถึง 1 ปี ก่อนจึงจะตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย
                        - หญิงให้นมบุตรไม่ควรรับประทานยา isotretinoin
                        - ผู้รับประทานยา isotretinoin ต้องไม่บริจาคเลือดในระหว่างที่รับประทานยาและจนกระทั่งหลังจากหยุดรับประทานยา    ไปแล้ว 1 เดือน
                        -  การรับประทานยา isotretinoin อาจทำให้ผิวหนังแห้ง ลอก และไวต่อแสง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด             นอกจากนี้อาจมีอาการตาแห้ง ปาก-คอแห้ง ได้เช่นกัน
                        - การรับประทานยา isotretinoin อาจทำให้เกิดความบกพร่องในการได้ยิน หรือเกิดเสียงหวีดในหู (tinnitus) ได้ ดังนั้น     หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยด่วน
                        - หลีกเลี่ยงการรับประทานยา isotretinoin ร่วมกับวิตามิน A, สมุนไพรชื่อ St. John’s Wort และยา tetracycline
                        - isotretinoin มีความเป็นพิษต่อตับ (hepatotoxicity) ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจค่าการทำงานของตับ (liver function        test) อยู่เสมอ หากมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองควรหยุดยาและรีบมาพบแพทย์
                        - การรับประทานยา isotretinoin  อาจทำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia) โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์             (triglyceride) ดังนั้นควรมีการตรวจระดับไขมันในเลือดอยู่เสมอในระหว่างที่รับประทานยา และหากไม่สามารถควบคุมระดับ            ไขมันที่สูงขึ้นได้ควรหยุดรับประทานยาและไปพบแพทย์
                        - การรับประทานยา isotretinoin อาจทำให้เกิด inflammatory bowel disease (IBD), ปวดกล้ามเนื้อ(arthralgia),             กล้ามเนื้อถูกทำลายอย่างรุนแรง (rhabdomyolysis) ได้เช่นกัน
                        - การรับประทานยา isotretinoin ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน (มากกว่า 6 เดือน) อาจทำให้ความหนาแน่นกระดูก             (bone mineral density) ลดลง และอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกนุ่ม รวมถึงภาวะกระดูกพรุนด้วย อีกทั้งจำเป็นจะต้องระมัดระวัง        เป็นอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้ยาในเด็ก
                        - พบการรายงานเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิต เช่น ซึมเศร้า จิตเภท มีพฤติกรรมรุนแรง ก้าวร้าว มีความคิดหรือมี            ความพยายามในการฆ่าตัวตาย(พบได้แต่น้อยมาก) จากการรับประทานยา isotretinoin ดังนั้นผู้รับประทานยาควรได้รับการ            ประเมินความผิดปกติทางด้านจิตใจก่อนการรับประทานยา และผู้รับประทานยาควรแจ้งแพทย์ทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทาง            อารมณ์หรือพฤติกรรมที่ต่างไปจากเดิม

ข้อห้ามใช้และข้อควรระวังของยา isotretinoin มีเป็นจำนวนมาก และบางอย่างจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำงานของตับ หรือระดับไขมันในเลือด ดังนั้นการซื้อยาจากร้านขายยามาใช้เองโดยมิได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ รวมถึงการได้รับยาจากคลินิกเสริมความงามที่ไม่ได้มีการตรวจร่างกาย ซักประวัติ และสั่งจ่ายยาอย่างเหมาะสมโดยแพทย์ อาจทำให้ผู้ที่รับประทานยาได้รับอันตรายจากยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

บรรณานุกรม
  1. Isotretinoin. In: DRUGDEX EVALUATION. [Online]. 2010 Feb 5. Available from: MICROMEDEX Healthcare Series. 2010. [cited 2010 Mar 24].
  2. Ofori AO. Oral isotretinoin therapy for acne vulgaris. In: UpToDate Online. [Online]. 2009 Jun 11. Available from: UpToDate, Inc. 2010. [cited 2010 Mar 24].

กลูตาไธโอน (glutathione)

               กลูตาไธโอน (glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย

               ในทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา เช่น ภาวะเป็นหมันในเพศชาย ปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก วิธีการรักษามักทำโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดกลูตาไธโอนนั้นมีสีผิวที่ขาวขึ้น เนื่องมาจากกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้พยายามนำผลข้างเคียงของยามาใช้ในการทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำยามาใช้ในทางที่ผิดอีกรูปแบบหนึ่ง โดยในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่น่าเชื่อถือยืนยันหรือรับรองประสิทธิภาพและประโยชน์ของกลูตาไธโอนในการทำให้ผิวขาวได้อย่างแท้จริง จึงไม่น่าแปลกใจที่กลูตาไธโอนไม่ผ่านการรับรองข้อบ่งใช้โดยองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับทำให้ผิวขาว

              ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้นเอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำสำหรับรับประทาน ซึ่ง กลูตาไธโอนนี้สามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์ ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานกลูตาไธโอนในรูปแบบของยารับประทานนั้นแทบจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาจึงพบว่ามีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่ากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน

               ประเด็นสำคัญของการใช้ยาฉีดกลูตาไธโอนโดยเฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือดดำนั้น คือ ความปลอดภัยจากการฉีดยา เนื่องจากผิวที่ขาวขึ้นจากกลูตาไธโอนนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการให้ผลคงอยู่ไปตลอดจำเป็นต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะ ทำให้มีการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ นอกจากนี้การฉีดยาจำเป็นต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการให้ยา เช่น การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดเ การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดเนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มฉีดยาไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ที่ได้รับยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

               ถึงแม้ว่ากลูตาไธโอนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ กลูตาไธโอนชนิดฉีดหรือชนิดรับประทานเพื่อให้ผิวขาวใสนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ผลที่ชัดเจน ความปลอดภัยในการใช้ยาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง และพึงระลึกไว้เสมอว่า “ ไม่มียาชนิดใดในโลกที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์ ” ดังนั้นก่อนการใช้ยาใดๆ ก็ตามควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อนเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

Reference:
1. Villarama CD, Maibach HI. Glutathione as a depigmenting agent: an overview. Int J Cosmet Sci 2005;27:147–53.

2. พิมลพรรณ พิทยานุกุล. สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ [Online]. 2008 Apr 22 [cited 2010 Feb 5]. Available from: URL: http://www.consumerthai.org/old/cms/index.php?option=com_ content&task=view&id=1055&Itemid=38